วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ว่าด้วยเรื่องการตรวจร่างกาย

ว่าด้วยเรื่องการตรวจร่างกาย

ภาพจากอินเตอร์เน็ต

หลังจากที่ผ่านการสัมภาษณ์อะไรเรียบร้อย ทางกาต้าร์เค้าก็จะมีอีเมลและลิ้งค์เพื่อให้เราเข้าไปกรอกข้อมูลส่วนตัวที่เรียกว่า Advanced candidate Zone เมื่อสำเร็จเรียบร้อยทางกาต้าร์ก็จะมีจดหมายพร้อมเอกสารให้เราไปตรวจร่างกายและส่งกลับมาและรอเขายืนยันอีกที
หมายเหตุ รุ่นของเราไม่มีจดหมาย Congrat

            เป็นที่รู้กันว่าผู้สมัครส่วนใหญ่นิยมไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพญาไท 2 เพราะเป็นผู้ชำนาญการ โดยผู้สมัครส่วนใหญ่เมื่อส่งผลที่ตรวจไปแล้วมักไม่ค่อยมีปัญหากับทางกาต้าร์ แต่....ก็ไม่ใช่ว่าจะตรวจกับโรงพยาบาลอื่นๆไม่ได้ แต่ทั้งนี้ก็ควรแจ้งรายละเอียดกับคุณหมอถึงความละเอียดและความต้องการที่เป็นพิเศษของกาต้าร์ด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วต้องโดนกลับมาแก้ไขใหม่ เสียเวลาทั้งเรา คุณหมอ และกาต้าร์

เราเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ไปรอตรวจที่โรงพยาบาลพญาไท ทั้งคุณหมอและพยาบาลดูแลดีค่ะ แต่ใช้เวลานานมากๆ อาจจะเป็นเพราะพวกเราไปตรวจกันเป็นกรุ๊ปใหญ่ๆเลยค่ะ หลักๆ ที่ทางนั้นขอและเราจำได้ก็จะมี กรุ๊ปเลือด ตรวจดูไวรัสตับอักเสบ เอชไอวี กระดูสันหลัง ปอด ภาวะสายตา หู เป็นต้นค่ะ  หมายความว่าต้องไม่ติดเชื้อ HIVs ไม่เป็นโรคตับอักเสบ A B C ไม่เป็น ซิฟิลิส ไม่มีอาการของตาบอดสี และกระดูกสันหลังไม่ควรคดเกิน 12 องศา ไม่มีลักษณะหรือร่องรอยของปอดที่บอกว่าเคยติดเชื้อวัณโรคหรืออื่นๆ มาก่อนค่ะ


ผลการตรวจร่างกายของเราก็ปกติดีค่ะ นับว่าโชคดีที่ดูแลตัวเองดีเสมอมา ดังนั้นใครที่ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เช่นเรา ก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ ส่วนใครที่เข้าข่ายมีภาวะไม่ปกติ อย่าเพิ่งเสียใจและท้อแท้ไปค่ะ

จริงอยู่ที่สายการบินส่วนใหญ่มักรีเควสผู้สมัครตามเงื่อนไขด้านบน และมักจะปฏิเสธรับผู้สมัครที่อยู่ในกลุ่มต้องห้ามข้างต้น ซึ่งส่วนนี้เราคิดว่าคงทำให้หลายคนเสียใจไม่น้อย แต่..บางโรคเราก็มีทางรักษาได้ค่ะ
ในกรณีที่
-         กระดูกสันหลังคด อาจจะเป็นไปได้ว่ายืนผิดท่าตอนที่ถ่าย ให้ลองขยับท่ายืนหรือยืดตัวตรงๆ ดูค่ะ ของเราถ่ายครั้งแรกก่อนตรวจจริง 1 อาทิตย์คด 4 องศา ถ่ายจริง  0 องศา
o  ปล คุณหมอบอกว่า กระดูกสันหลังคนเราอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ในแต่ละวัน รวมถึงการถ่ายจากต่างโรงพยาบาลกันอาจจะทำให้ค่าคดกระดูกเปลี่ยนแปลงไปค่ะ
o  การกายภาพบำบัดหรือโยคะ ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้ในเวลาอันเร่งรีบรึเปล่านะคะ
-         มีภาวะติดเชื้อไวร้สตับอักเสบ ABC ตรงนี้น่าจะรักษาหายได้ค่ะ เพียงต้องใช้เวลา เราเจอมาจากรายการบ่ายนี้มีคำตอบ ตามลิ้งค์นี้นะคะ ไวรัสตับบี ภัยเงียบที่รักษาได้ จาก บ่ายนี้มีคำตอบ จะบอกวิธีการรักษาอยู่ ซึ่งไวรัสตับบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยไม่โชว์ในตอนตรวจและตัวอย่างจากหลายๆ คนที่เราอ่านเจอจากพันทิป ในชีวิตจริง เราหายจากโรคก็ถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐแล้วใช่ไหมคะ แต่ปัญหามันอยู่ที่ในการสมัครงาน โดยเฉพาะกับสายการบินว่าในใบผลตรวจเลือดจะโชว์ภาวะว่าเคยติดเชื้อหรือไม่ ตรงนี้ต้องปรึกษาคุณหมอค่ะ อย่างไรก็ตามเราไม่อยากให้คนที่รู้ว่าตนเองติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ตีโพยตีพายและเสียใจไปก่อนนะคะ เราอยากให้คุณไปหาหมอและรับการรักษารวมถึงดูแลตัวเองให้ดีที่สุดค่ะ เป็นห่วงจริงๆ นะเนี่ย
-         เรื่องภาวะโลหิตจางและธาลัสซีเมียหรือพาหะธาลัสสซีเมีย ตามที่เราเข้าใจคือเค้าจะไม่ตรวจผลนี้หรือที่เราเรียกว่า CBC ที่ไทย แต่จะไปตรวจที่นู่นแทน ใครที่เลือดไม่ถึง 12 อาจจะมีปัญหา ดังนั้นควรจะตรวจหาก่อนที่จะไปแจ็กพอตแตกที่นู่นนะคะ เพราะบางครั้งโรคมันก็ไม่ได้แสดงอาการมากเท่าไร แต่ถึงไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ทางกาต้าร์เค้าอาจจะมีปัญหาได้ ยังไงก็เซฟๆ ไว้ก่อน เราเองเคยตรวจเมื่อ 2 ปีก่อน ค่าเลือดอยู่ที่ 12.2 แต่ช่วงก่อนที่เราไปตรวจร่างกายกาต้าร์ 1 อาทิตย์ ค่าเลือดเพิ่มไปที่ 12.6 (มั่นใจว่าเป็นเพราะออกกำลังกาย) และเป็น 13.6 หลังจากที่ตรวจครั้งแรก ประมาณ สองอาทิตย์ สาเหตุที่เลือดเพิ่มขึ้นอาจจะอยู่ในช่วงที่ประจำเดือนกำลังจะมาหรือช่วงนั้นเรากินตับเยอะเกินไปก็ไม่ทราบเหมือนกัน ถึงแม้ว่าค่าเลือดจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแล้ว แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจค่ะ
-         ส่วนโรคตาบอดสี หรือ HIVs ตรงนี้เราไม่ทราบจริงๆค่ะว่าแนวทางรักษาหายขาดเป็นอย่างไร ลองปรึกษาคุณหมอเชี่ยวชาญจะดีกว่า
-         ซิฟิลิสรักษาหายได้ค่ะ
-         กลับไปที่ไวรัสตับ มีหลายคนที่ตรวจหลายๆ ครั้งแล้วก็มีทั้งเจอโรคและไม่เจอโรค ตรงนี้ก็ให้รีบถามคุณหมอค่ะ

เมื่อเราตรวจและส่งผลทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์เพื่อรอผลกลับ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดี เค้าก็จะส่งวันบินมาให้ค่ะ

            

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าจากร้านกาแฟ

เรื่องเล่าจากร้านกาแฟ : เรื่องจริงจากประสบการณ์และคำบอกเล่า

วันนี้นัดพบปะสังสรรค์กับเพื่อนสาวสมัยมัธยม ซึ่งส่วนใหญ่ใกล้เรียนจบแล้ว ทุกคนก็เล่าเรื่องราวขำขันที่ไปเจอมาจากที่ฝึกงานบ้าง เป็นหมออินเทิร์นกันบ้าง ขำกันท้องแข็ง เราเองก็เล่าไปเยอะเหมือนกัน เลยถือโอกาสนี้ขอพื้นที่บล็อกมาบันทึกเรื่องราวที่เจอมา เผื่อแก่ตัวไปจะได้กลับมาอ่านบ้าง 5555555


บาริสต้าน่ารัก ลูกค้าพรึบ - เพื่อน ผญ คนหนึ่ง หน้าตาน่ารัก ชอบบริการลูกค้า ทุกๆอาทิตย์จะมีลูกค้าประจำเป็นคนต่างชาติคนนึงมาทานเสมอ เพื่อนสาวคนนี้ก็รับหน้าที่เสิร์ฟตลอด (จริงๆแล้วเธอก็เสริฟทุกๆคน) ลูกค้าคงจะสนใจ ถามนู่นนี่นั่นคุยกันเป็นสิบนาที หลังจากวันนั้นลูกค้าคนนี้ก็มาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเธอเดินกลับมาที่บาร์ ทำหน้าเหมือนอยากตาย ปรากฏว่าลูกค้าขอเบอร์ เธอเองไม่รู้จะปฏิเสธยังไงก็ให้ไป แถมลูกค้ายังชวนไปสิงคโปร์ด้วยกัน อ้อ ลืมบอกไปลูกค้าคนนี้อายุประมาณแซยิด เป็นชาวต่างชาติ เหมือนเธอคงอึดอัด ก็เลยจัดแจงเปลี่ยนวันหยุดตัวเองให้ตรงกับวันที่ ลค มา แถมเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์
ลูกค้าอีกคนเป็นชาวต่างชาติเหมือนกัน สั่งเครื่องดื่ม อาหารแล้วทานจนเสร็จ ก็เดินวนไปมาหน้าร้าน จนเรากำลังเดินไปเข้าห้องน้ำลูกค้าคนนี้ก็พุ่งมาชาร์ต ถามถึงเพื่อนผญคนนั้น ว่าอายุเท่าไร ชื่ออะไร เราเองก็ตอบไป จนสุดท้ายเค้าก็พูดว่านี่เสียดายนะถ้า อายุซัก 30 จะจีบละ 55555 แอบเสียดายแทนเพื่อน เพราะก็หล่อเอาการเลย


ชาเขียวปั่นเท่านั้น
ลูกค้า : ชาเขียวปั่นค่ะ
บาริสต้า : หมดค่ะ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหมคะ
ลูกค้า : เอาชาเชียวปั่นค่ะ (หยิบชาเขียวผงตัวเองขึ้นมา) ใช้นี่ก็ได้ค่ะ
บาริสต้า : คือรสชาติมันจะไม่เหมือนกับทางร้านนะคะ
ลูกค้า : ไม่เป็นไรค่ะ คิดราคาเท่ากันเลย พี่อยากกินชาเขียวปั่นมากกกกกก

ทิปโหด
ลูกค้าต่างชาติ : คาปูร้อนกับเค้ก บลาๆๆ ค่ะ
บาริสต้า : รับออเดอร์ และเกิดคึกอยากทำ ลาเต้อาร์ต 3D เลยทำรูปแมวให้
ลูกค้า : Stunninggggg…..
บาริสต้า : เก็บโต๊ะหลังจากลูกค้ากลับแล้ว พบทิป 100 บาท วางอยู่

สาวน้อยอินละคร
ช่วงละครคุณเขมกำลังดัง มีลูกค้าผู้หญิงมัธยมคนหนึ่งกับเพื่อนสาวมาสั่งกาแฟ “กาแฟดำใส่มะนาวฝานค่ะ” ทำเอาบาริสต้าหลังบาร์สองคน ช้อคเบาๆ

ภาพจากอินเตอร์เน็ตประกอบลาเต้ 3D

ไม่ใช่ร้านโชว์ห่วย
ลูกค้าบางคนถามหาบัตรเติมเงินที่บาร์พร้อมอารมณ์เสียที่เราไม่ได้ขาย ซึ่งลูกค้าเป็นชาวต่างชาติคงเข้าใจผิดเรื่องวัฒนธรรมเพราะที่ต่างประเทศเช่นในยุโรปร้านกาแฟมักมีบัตรเติมเงินขายแต่วัฒนธรรมไทยร้านกาแฟโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้างไม่ขาย

Information counter
                บางทีการที่ร้านตั้งอยู่ในห้าง หน้าที่ของบาริสต้าอย่างเราก็เพิ่มขึ้นมาด้วยนั่นคือการบอกทาง พวกเรายินดีบอกทางเสมอ ถ้า..... สถานที่ที่คุณจะไปมันไม่ได้ตั้งอยู่นอกห้างออกไปเป็นสิบโล

ภาพจากอินเตอร์เน็ต

Facts
-          บาริสต้ามักจะเซงช่วงที่ร้านมีโปรโมชั่นเพราะคนเยอะมากกกกกกกกกก บางครั้งก็อดกินข้าวเที่ยวกันเลยทีเดียว
-          ลูกค้าบางคนมักหยิบออร์เดอร์ผิดประจำ ทำให้เจ้าของออร์เดอร์ตัวจริงหงุดหงิด บาริสต้าเลยงานเข้า
-          ลูกค้าบางคนเป็นขาประจำที่ไม่เบ่ง ซึ่งเราจะรู้ก็ต่อเมื่อลูกค้าบ่นว่าทำไมเมนูโปรดของเขาไม่พิมพ์อยู่บนเมนูจริงซักที
-          ร้านที่ทำอยู่จะใช้น้ำมะนาวแท้เสมอคั้นโดยบาริสต้า ซึ่งซื้อมาจากซุปเปอร์ข้างๆซึ่งโคตรแพง... คั้นออกมาได้น้ำน้อยนิด แต่ลูกค้าสั่งชามะนาวกันบ่อยสุดๆ จึงทำให้หมดบ่อยๆ บาริสต้าเลยต้องวิ่งไปซื้อทุกวัน
-          วันหยุดยาวหรือสุดสัปดาห์พวกเรามักไม่ค่อยมีเวลากินข้าว จึงต้องอาศัยนั่งกินหลังเค้าท์เตอร์ กินได้หนึ่งคำ รับออเดอร์หนึ่งครั้ง ฉะนั้นอย่าได้แปลกใจถ้าบาริสต้าไม่ยอมพูดด้วย
-          เค้กที่เอาออกมาขายแล้วขายไม่ออกแล้วหมดอายุ บาริสต้ามักเป็นผู้รับภาระแทนเพราะเสียดาย
-          กาแฟที่ดีมักควรนำมาทำเครื่องดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 10 วิ เพราะช้อตจะตาย ขม ทิ้งอย่างเดียว
-          ถ้ากาแฟเหม็นไหม้ แปลว่าบาริสต้าอัดกาแฟแน่นเกินไป
-          ปกติถ้าทำกาแฟผิด หรือ ไม่ตรงตามความต้องการ พวกเรายินดีเปลี่ยนแก้วใหม่ให้


ปล.เหตุการณ์ทั้งหมดได้มาจากประสบการณ์จริง แต่แต่งเติมนู่นนี่นั่นบ้าง

เดี๋ยว เจ้าตัวมาอ่านจะร้องจ้ากกก

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สมัครครั้งที่สองก็ได้เลย (จบ)

สมัครกาต้าร์แอร์เวย์ ครั้งที่สองก็ได้เลย (3)
        สวัสดีค่ะ เดินทางมาถึงเอนทรีสุดท้ายกันแล้วเนอะ (น่าจะ..ถ้าไม่เขียนเวิ่นมากกกก) ปกติแล้วจะจำกัดประมาณครั้งละสามสี่หน้า แต่มันเกินเป็นหกหน้าทุกทีเลย ขอโทษคนอ่านด้วยน้าที่ทำให้เสียเวลาไปนิสสส
            มีผู้อ่านถามเรื่องที่ไปสมัครโอมานแอร์ คือมันมีเหตุผลที่ผลักดันเราไปสมัคร แน่นอนว่าเราไม่ได้อยากเป็นนางฟ้าสองสายอะไรงี๊หรอก จริงๆ คือ เราเคยได้ยินสาวๆกลุ่มนึงเม้าท์เรื่องเราโดยที่ไม่รู้ว่าเรานั่งข้างๆ (เราไม่ได้แต่งหน้า) ซึ่งประโยคที่จำได้ขึ้นใจคือ แม่งโคตรโชคดีเลยว่ะ ติดกาต้าร์เราอยากจะเดินกลับไปบอกสาวๆ กลุ่มนั้นว่า กว่าจะได้ถึงวันนี้เราพยายามขนาดไหน ตั้งใจปรับปรุงข้อเสีย อดทนกับความกดดันจากทุกด้าน จากครอบครัวเพราะอยากให้เราทำงานฝ่ายปกครองและเรียนโทต่อ จากงบประมาณที่ใช้ในการสมัครแอร์พวกค่าใช้จ่ายต่างๆ(เยอะมาก)ซึ่งบางครั้งเราก็ต้องให้แฟนเราออกไปก่อน จากอนาคตเพราะเรากำลังจะเรียนจบโดยที่เพื่อนๆ มีงานทำดีๆ เงินเดือนดีๆแล้ว อีกทั้งช่วงเวลาที่เราต้องไปสัมภาษณ์ทั้งหมดสามวัน เราต้องอ่านหนังสือและเตรียมตัวเยอะมากแถมยังต้องตื่นมาแต่งหน้าแต่งตัวก่อนสองสามชั่วโมง ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปแล้วเรามาไกลสุดๆ แล้วจนวันนึงเราทำสำเร็จมันควรจะมากกว่าคำว่า “เราโชคดี”
            เพราะฉะนั้นเราไม่อยากให้เพื่อนๆ ทุกคนมองว่าเราโชคดีที่มีวันนี้ หรือเราเก่ง เราสวยมีทุนอยู่แล้ว เราพยายามสร้างทั้งนั้น ทุกคนต้องพยายามถึงจะไปถึงฝัน ให้เราเป็นแรงบันดาลใจเมื่อคุณท้อแท้ว่า อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีคนนึงตรงนี้ที่เคยตะเกียกตะกายมาจนถึงฝัน
ที่เราเขียนนี่เราไม่ได้อะไรตอบแทนเลยนอกจากความสุขที่ได้รับจากคนอ่าน ที่สละเวลามาอ่านประสบการณ์ของเรา บางคนอาจคิดว่า อ้าวก็ใช่สิเธอได้แล้วนี่ จะพูดจะทำอะไรก็สวยไปหมดอ่ะ ซึ่งมันก็จริงนั่นหละ เพราะถ้าเราเป็น no one เราก็ไม่รู้จะมีใครมาสนใจไหม ซ้ำแล้วคงมีคนคิดว่า นี่เธอเป็นใคร...เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นโอกาสที่ดีงามแล้วที่เราจะถ่ายถอด เราอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนสร้างฝันของตัวเองให้เป็นจริง เช่นเราที่ไม่เคยฝันถึง เพราะคิดว่าเอื้อมไม่ถึง ก็ยังมาจุดๆ นี้ได้

           เอาล่ะ! หลังจากเรียกขวัญกำลังใจกันแล้ว ก็มาต่อเรื่องที่เราค้างไว้คือตอนต่อจาก  public speaking คือ การทำ Group discussion และ Final interview

Group discussion
หลังจากที่กรรมการประกาศผลผู้เข้ารอบทั้งหมด 40 คน กรรมการก็แบ่งพวกเราเป็นสี่กลุ่ม กลุ่มละ 10 คนตามเลข เราหมายเลขท้ายๆ ได้อยู่กลุ่มที่สาม โดยกรรมการจะให้เข้าไปทีละ 2 กลุ่มเพื่อทำรอบกรุ๊ป พวกเราที่เหลือก็จัดการแบ่งกลุ่มกันเสร็จสรรพและล็อบบี้กันทันทีตามคำแนะนำของผู้สมัครท่านหนึ่ง ภายหลังก็ผ่านไฟนอลด้วย เนื่องจากเธอคนนี้เคยมีประสบการณ์กรุ๊ปที่เลวร้ายจากรอบ มีนา ที่ทุกคนไม่ให้ความช่วยเหลือกันเท่าไร ดังนั้นเราจึงจัดการแบ่งงาน โดยมอบหมายให้ผู้สมัครอีกท่านจับเวลา และกำชับทุกคนว่าให้ถามทันทีที่ไม่เข้าใจและอย่าบล็อกกันเด็ดขาด เพราะจุดประสงค์ของกลุ่มเราคือ ผ่านยกกลุ่ม เฮ้!!!
            เมื่อถึงเวลาของพวกเรา กรรมการก็ให้เรานั่งเรียงตามลำดับ และบอกหัวข้อคือ Create your own airline that include base of your airline and What 5 qualities of cabin crew which you expect and unexpect? มีเวลา 8 นาที
            เมื่อพวกเราเริ่มทำงาน ก็มีการทวนคำถาม และแบ่งงานกันทำโดยแบ่งงานเป็นคู่ ทำ expected qualities ทำ unexpected qualities บางคนคิดชื่อแอร์ไลน์กับเบส บางคนจับเวลา พร้อมช่วยคิดแอร์ไลน์ บางคนเขียนกระดานซึ่งสุดท้ายแล้วทุกคนก็เข้าไปช่วยเขียนเพราะข้อมูลเยอะมาก บางครั้งส่วนไหนที่ทำไม่ทันเพื่อนๆ ในกลุ่มก็จะยินดีช่วยเต็มที่ แถมเวลาเหลือนิดหน่อยเราก็คิดสโลแกน ท่าประจำแอร์ไลน์ เอาเป็นว่า ผลลัพท์คือกลุ่มเราทำงานกันได้ดีมากที่เราชอบที่สุดคือ เมื่อกรรมการขานหมดเวลา ผู้จับเวลาของเราก็ค้านกรรมการทันทีว่า เวลายังเหลืออีกสองนาทีค่ะพร้อมโชว์ข้อมือ นาทีนั้นรักเธอที่สุด  555555 ในขณะที่เราดิสคัสกันอย่างเมามันกรรมการเค้าก็เดินวนดูรอบๆ ตลอดเลย แถมจดยิกๆๆๆ แถมหันไปสบตากันหลายครั้งมากก็ต้องยิ้มให้เธอเลยจุดนั้น เมื่อเวลาหมดลงก็ถึงคิวพรีเซนต์ พวกเราก็พรีเซนต์ในหัวข้อที่ตัวเองได้รับมอบหมายจนจบค่ะ แล้วที่พวกเราที่เหลือก็เข้ามาในห้องเพื่อรอฟังผล

            แท่ แท๊นนนนน!!!! กรรมการรับทุกคนเลยค่า ทุกคนนี่ยิ้มกันแก้มปริ หน้าบานกลับบ้านพร้อมอวยพรกันและกันให้โชคดีสำหรับวันพรุ่งนี้ พอเราอยู่คนเดียวปั้บ เราก็โทรรายงานผลทันทีค่ะอัดอั้นตันใจมาทั้งวันไม่ได้โทรหาใครเลย โทรหาพ่อพ่อก็บอกว่าดีใจด้วย ส่วนแม่กับพี่สาวกรี๊ดบ้านแตก แล้วก็โทรหาแฟน แฟนเราก็ดีใจด้วยเช่นกัน เรานี่เดินตัวเบาไปหาแฟนที่จอดรถรอหน้าโรงแรม นั่งดีใจเหมือนคนบ้าในรถจนแฟนเรานั่งขำ รอบนี้กรรมการไม่ได้ให้ฟอร์มมาด้วยนะคะ
            ข้อสังเกตเวลาทำกรุ๊ป ในเมื่อเขากำหนดเวลามาให้ เราก็ต้องช่วยกันทำช่วยกันคิดเพื่อให้งานลุล่วงเร็วที่สุด ดีที่สุด ให้ความร่วมมือเพื่อนๆ เสมอ และควรจะตกลงกับเพื่อนๆไว้แต่แรกว่า ถ้าชั้นงง ไม่เข้าใจโจทย์ชั้นจะถามอ้อมๆ ให้เธอช่วยชั้นทันทีนะ 55555

Final interview
          รอบไฟนอลคือรอบสุดท้ายด้วยการสัมภาษณ์เดี่ยว คล้ายๆกับช่วง small talk แต่นานกว่าหน่อย ซึ่งเราเองก็ดีใจได้ไม่นานเพราะเครียดว่าพรุ่งนี้จะทำยังไงให้บรรยากาศให้ห้องดูไม่เครียด อึมครึมหรือ จบการสนทนาลงไปแบบไม่เป็นที่น่าพอใจ เราก็กลับมานั่งคิดบทสนทนาอีกแล้วว่าจะจู่โจมกรรมการแบบไหนดี ที่กรรมการจะงงแล้วลืมคำถามยากๆ ที่จะถามเรา นอกจากนั้นก็ยังต้องให้เป็นตัวเราเองอีก หลับตาไปก็คิดไปเรื่อยๆ หลับไปฝันไป ถ้าผู้อ่านถามว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ คำตอบคือ
1.      เราไม่อยากให้กรรมการให้เราตก ทั้งๆที่ยังไม่รู้จักเราจริงๆ
2.      เราไม่อยากเสียใจทีหลังว่าถ้าเราพลาดไปจริงๆ แล้วเราน่าจะวางแผนมาแต่แรก
(ดูเว่อมากเลยอ่ะ 5555 แต่เราไม่อยากพลาดแล้วไง)
ทุกอย่างลงตัวดีเราก็หลับลง และตื่นมาแต่งหน้าทำผมพร้อมไปโรงแรมโดยมีสารัตถีเจ้าเก่าขับไปส่ง เมื่อไปถึงแม่จ้าววววว ทุกคนกำลังนั่งเก็งคำถามรอบไฟนอลอยู่ซึ่งคำถามก็ไม่พ้นว่า ทำไมอยากเป็นแอร์ และทำไมต้องกาต้าร์ และอีกเยอะมากมายไปหมดจนเราต้องขอเวลานอกไปนั่งทำใจ ทำสมาธิห่าง ๆ คนเดียวในห้องน้ำ 555555 ไปทำอย่างอื่นด้วย จากนั้นเราก็รวบรวมพลังคิดถึงบทสนทนาในสมอง จำๆจะได้ไม่ลืมเวลาไปอยู่ต่อหน้ากรรมการ
เวลาเก้าโมงตรงกรรมการก็มาทักทายพร้อมให้พวกเราทีละ 20 ไปนั่งหน้าห้องรอเรียกสัมภาษณ์ คนแรกๆ ก็ตื่นเต้นสุดๆไปตามระเบียบและเพื่อนๆคนต่อมาก็ลดลงไป และพวกเราก็จับกลุ่มคุยกัน ว่าไฟนอลรอบนี้มาแปลกอีกแล้ว เพราะปกติเค้าจะให้ฟอร์มไปที่บ้านแล้วนำมาคืนวันไฟนอล ดังนั้นพวกเราก็คาดว่าจะได้กรอกวันนี้พร้อมดูพรีเซนเตชั่น แต่......อย่างที่บอก พวกเราได้สัมภาษณ์ก่อนทำอะไรทั้งหมด ก็เลยอดคิดไม่ได้ว่า วันนี้คงจะมีอะไรแปลกๆอีกเหมือนเดิม
เราซึ่งอยู่ในกลุ่ม 20 คนแรกก็ไปนั่งรอ เราเองก็คุยกับเพื่อนๆไปพลาง ย้ายที่นั่งไปเรื่อยๆ คุย ลุกไปเข้าห้องน้ำบ้าง ไปกินขนมบ้างจนลืมความตื่นเต้นไปเลย พอเพื่อนคนไหนเดินออกจากห้องสัมภาษณ์มาที สาวๆที่นั่งอยู่ก็สัมภาษณ์ต่อทันที คร่าวๆ คือ มีกรรมการหนึ่งคนถาม หนึ่งคนดู resume อีกคนดู Grooming เมื่อถึงคิวเราเราก็เข้าไปในห้อง ทักทายสไตล์เดิมๆที่เคยทำไป ทำตัวดูกระฉับกระเฉงนิดหน่อย และเริ่มต้นสัมภาษณ์ด้วยสไตล์การรุก เช่นเคย
หลังจากถามสารทุกข์สุขดิบเรียบร้อย เราก็เปิดบทสนทนาก่อน (แอบกลัวว่าจะเปิดไม่ทันกรรมการพูด)
เรา – Did you go somewhere to celebrate last night? (it was Songkarn)
กรรมการ – Oh, We just had a dinner and went back to the hotel.
 เรา – That’s pity.
กรรมการกรูม – Just go to BKK is my celebration.
จากนั้นกรรมการก็ถามถึงเรื่องงาน เราเองก็อธิบายย้อนไปถึงงานเก่าด้วย พอพูดจบกรรมการที่ดูเรซูเม่เค้าก็ถามถึงเรื่องวิชาที่เราลงพื้นที่ช่วยชาวบ้าน เราก็อธิบายลักษณะการทำงานไป จากนั้นก็ประโยคคำถามเด็ดที่โดนกันทุกคนคือ พร้อมจะมาโดฮาเมื่อไร อันนี้แล้วแต่คนเลย เพื่อนเราหลายคนตอบว่า ทันที บางคน  1 เดือน เช่น เรา บางคน 2 เดือน เป็นต้น เราให้เหตุผลที่ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนเพราะว่างานที่เราทำอยู่กำลังขาดคน ซึ่งถ้าเราออกทันทีร้านจะแย่ ซึ่งยังไงเราก็ต้องแจ้งบอสก่อน รวมถึงเพื่อนๆเค้าคงอยากปาร์ตี้กับเราก่อนจะจากกัน ก็ไม่มีอะไรค่ะชิวมากสำหรับคำถาม แต่ว่า....คำถามต่อมาซึ่งทำให้เราไปต่อไม่ถูกเลยคือ “เธอใช้เครื่องสำอางอะไร หน้าเธอดีจัง” 555555 ตลกมากค่ะไม่คิดว่าจะโดนแบบนี้ ตอนที่เราไปแชร์กับเพื่อน บางคนโดยให้ร้องเพลงให้ฟังด้วย แปลกดีค่ะ
เมื่อทุกคนสัมภาษณ์เสร็จ ทุกคนนั่งรอใจจดใจจ่อ กรรมการก็แยกเราเป็นสองกรุ้ปอีกค่ะ ทุกคนช้อคเลย ซึ่งก็ตามคาดค่ะ คัดคนออกรอบไฟนอลจริงๆ จากนั้นก็กรอกฟอร์ม ช่วงนี้กรรมการเร่งมากค่ะ เธอพูดว่า ทำเร็วๆสิไม่หิวข้าวกันเหรอ 55555น่ารักมากๆเลยค่ะ

จบแล้วค่ะสำหรับรีวิวยืดยาวขอให้คนที่ล่าฝันประสบความสำเร็จนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สมัครครั้งที่สองก็ได้เลย กาต้าร์แอร์เวย์ (2)

สมัครครั้งที่สองก็ได้เลย กาต้าร์แอร์เวย์ (2)

            ต่อจากเอนทรี่ที่แล้ว ที่พูดถึงวันพรีสกรีน ก็มีสาวๆ มาถามหลายคนเลย ขอแชร์ละกันค่ะ
-          เรื่องความสวยงาม หน้าตาผิวพรรณ ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบไทยนิยมค่ะที่เป็นแบบขาวสวยผอมสูง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นกังวลไป สำหรับใครที่โดนคนอื่นว่ามาตลอดชีวิต ว่า ไม่สวยบ้าง อย่างแกจะเป็นแอร์บ้างล่ะ ไม่ต้องไปสนใจค่ะ เค้าไม่ได้มาใช้ชีวิตกับเรา คนที่เข้ารอบมีทุกแบบเลย

-          คุณค่าของคนมิได้อยู่ที่สีผิว อย่างเราดำมาตลอดชีวิต โดนกระแนะกระแหนตลอด สุดท้ายชั้นสะบัดบ๊อบใส่ ทิ่มด้วยปีก จุกค่ะ

-          สูท ที่แนะนำไปจริงๆแล้วไม่ต้องใส่ก็ได้ เรื่องร้านที่แนะนำนั้นคือเราไปซื้อคืนก่อนวัน prescreen ซึ่งมันโชคดีที่พอดีตัวเราเลยไม่ต้องแก้ และเรื่องสีพี่ จขร เค้าแนะนำดี คุยสนุก เลยแนะนำร้านนี้มาค่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วยังมีร้านอื่นๆ อีกมากก ที่เพื่อนเราไปตัดกัน เช่น Pratailor ร้าน long เป็นต้น
-          หน้าสวย หน้าคม หน้าแขก มีโอกาสสูง ขอตอบว่าอาจจะค่ะ และเราก็ไม่ได้หน้าคมนะจริงๆแล้ว ถ้าล้างเครื่องสำอางออกหมด เพื่อนๆ จำไม่ได้เลยค่ะ เพราะงั้นแบบไหนที่เหมาะกับตัวเองต้องลองแต่งดูค่ะ ลองๆๆๆ เท่านั้น คือคำตอบ
-          คิดว่าตัวเองสูงไม่ถึง เช่น 158 159 หรือต่ำกว่านั้น ก็เอื้อมแตะให้ถึง 212 เซนนะคะ
-          เรื่องที่เราวอล์คอินได้บางคนอาจจะคิดว่ามันไม่แฟร์ อันนี้เราไม่อยากเถียงค่ะ เพราะมันขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของกรรมการ อีกทั้งเราไม่ใช่คนแรกและคนเดียวของวันนั้นค่ะ

“ที่เขียนบล็อกเพราะได้แรงบันดาลใจจากคนรอบตัวที่อยากเป็นแอร์แต่นางคิดว่าตัวเองไม่สวย ไม่เก่ง ดูไม่ดี ดำไป ดั้งแบน ซึ่งจริงๆ แล้วทุกอย่างมันปรับได้ หรือถ้ามันปรับไม่ได้จริงๆ ก็เอาจุดเด่นอื่นๆ มากลบแทน เช่น เทอไม่สวยเลยอ่ะ แต่ภาษาเทอเริ่ดมาก อย่างอื่นก็พอถูๆ ไถๆ เป็นต้นค่ะ ซึ่งเราเองก็ไม่สวยค่ะ เป็นคนไม่สวย แค่อาศัยการแต่งหน้าก็พัฒนามาจนมันไปวัดไปวาได้ เพราะฉะนั้นอย่าให้ อคติคนอื่นมาบดบังกำลังใจของเรา เราเองอยากให้ทุกคนรู้ไว้ว่าไม่สวยก็เป็นแอร์ได้ โอเคนะคะ อย่าท้อ คนที่เข้ามาอ่านที่มีคนใกล้ชิดมาสมัครก็ขอให้อยู่ข้างๆคอยให้กำลังใจกันเยอะๆ มันกดดันนะคะ เสียน้ำตากันหลายหยดทีเดียว"
คนที่บอกว่า เธอสวย ดูรูปเธอสิ นั่นมันรูปค่ะ ล้างหน้าแล้วแฟนเรียก “เด็กหมู” อ่ะค่ะ เข้าใจกันนะ”


**เตือนก่อนอ่าน process เปลี่ยนได้ตลอดขึ้นกับดุลยพินิจกรรมการค่ะ

(ต่อ) เอนทรี่นี้คงพูดถึง process ของวันที่สอง คือขั้นตอน small talk/writing test/public speaking/group discussion
-        สีแดงคือมันผุดมาให้แบบเซอร์ไพรส์สุดๆ
-          ส่วนเอื้อมแตะหายไป โดยกรรมการจะให้ทำเฉพาะคนที่คิดว่าไม่น่าจะเอื้อมถึงบางคนโดนตั้งแต่พรีสกรีน บางคนโดนรอบ small talk

วันนี้เรามีนัดเจ็ดโมงตรง เลยตื่นมาแต่งหน้าตั้งแต่ตี 4 เพราะต้องแต่งหน้าทำผมเองเพราะรอบนี้ไม่มีตัง วิธีการอาศัย youtube บ้าง pinterest บ้าง เอาจริงเลยคือกลัวไปไม่ทันด้วยเพราะตื่นสาย และกรรมการกาต้าร์เข้มงวดเรื่องเวลามาก เพราะรอบที่แล้วมีคนไปไม่ทันเจ็ดครึ่ง เค้าก็ทำหน้าไม่ค่อยพอใจแล้วเชิญออกจากห้องเลยอ่ะ เพราะฉะนั้นกฎเหล็กคืออย่าสาย

ไปถึง 6.30 น. มีผู้สมัครอื่นๆ รออยู่บางส่วน รอบนี้ไม่รู้ว่าผ่านเข้ามากี่คน แต่บังเอิญเพื่อนเราได้เบอร์ท้ายสุด แต่เลขไม่ได้รันเลยไม่รู้ว่าขาดช่วงไปกี่คน เพราะฉะนั้นก็มีคนผ่านประมาณ 120 คน goshhhhh น้อยกว่ารอบมีนาอีกรอบนั้นเกือบ 200 รอสักพักกรรมการเค้าก็มาเรียกเข้าห้อง 
เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว กรรมการก็จะแนะนำตัวเอง จำได้ว่ากรรมการวันพรีสกรีนมีสี่คน แต่มาวันนี้มีสามคน เป็นผู้หญิงผอมๆ ตัวเล็กๆ สวย ยิ้มบ่อยมากก อีกคนตัวเล็กกว่าแต่นิ่งมากๆ คนสุดท้ายอวบๆสูงๆ เฮฮามากเหมือนกัน เราจำชื่อไม่ได้เลยเพราะเค้าพูดเร็ว หลังจากที่แนะนำตัวเองเสร็จเค้าก็ให้เราออกไปสัมภาษณ์อีกห้องนึงทีละ 20 เบอร์ จนถึงเบอร์สุดท้าย

ย้อนกลับไปเล่านิดนึง  คือเราเคยตกมาก่อนแล้ว แล้วตอนนั้นเราตั้งความหวังไว้ที่สุด ด้วยความที่มันเป็นครั้งแรกและผ่านเข้ารอบ ดังนั้นใจมันไปแล้วอ่ะ ชั้นติดปีกแล้ว แล้วมันก็ตกรอบ......... ความรู้สึกนี่แบบว่า ไม่อยากเห็นโลโก้กาต้าร์อีกเลย เจ็บปวดรวดร้าวสุดๆ พยายามหาสาเหตุว่าทำไมเราต้องตกด้วย
1. คือฟัน ฟันหน้าเรามีทำรากฟันอยู่ซี่นึง แล้วฟันตายสีจะเปลี่ยนเนอะ ก็เห็นชัดเจนเลย แล้วฟันเหลืองมากกกกเพราะต้องเทสช้อตกาแฟทุกวัน
2. เราเกร็งมาก ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต ทำให้ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ เดินสะดุดต่อหน้ากรรมการเลยตอนเข้าไปเอื้อมแตะ ก็ยืนเงียบๆ กรรมการถามเราถึงจะอ้าปากตอบ

แล้วเลวร้ายที่สุดคือเราเสียใจทีหลังว่า เพราะเราทำไม่ดีเองมันเลยจบแบบนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ทำอะไรแล้วจะเสียใจอีก คือต้องเต็มที่ที่สุด เพราะงั้นเลยจัดแจงนัดหมอฟันให้ครอบฟันหน้า และฟอกฟันให้สีมันปกติ


Small talk

ปุบปับก็เปิดรับรอบใหม่อีก มันเหมือนมีอะไรมาดามหัวใจ ว่าเรายังมีพลังและเราต้องสู้ เราก็ส่งอินไวท์เหมือนคนปกติแต่มันไม่ได้ เลยไปวอคอินแทน พอเราผ่านวันพรีสกรีนมาได้ สิ่งที่เรากลัวที่สุดคือรอบ small talk นี่แหละ สิ่งที่เราทำคือ เรากลับไปนอนคิดทั้งคืนว่าเราควรจะทำยังไงให้ดูน่าสนใจดี ทำยังไงให้เป็นตัวของตัวเอง ทำให้เค้ารู้จักได้ในเสี้ยววินาที เหมือนที่กรรมการพูดว่า “just be yourself don’t pretend to be someone else that we will know” 
ดังนั้นเราเลยลองสร้างบทสนทนาคร่าว ๆ เพื่อที่ว่ามันจะออกมาดีไหม ให้ดูเป็นคนหน้าสนใจนิด ที่เราทำคือเราผลักประตูเข้าไป เราก็ say hello ประหนึ่งอยู่บนเวทีคอนเสริตตัวเอง พอกันกรรมการทักกลับมาอย่างเป็นมิตร มันก็โป๊ะเช๊ะ

กลับมาหลังจากที่กรรมการเรียกเบอร์แรกๆ ไป ก็ใกล้จะถึงคิวเรา จากที่สังเกตคิวก่อนหน้าเราประมาณ ห้าคิวต้นๆ กรรมการสัมภาษณ์นานแต่ไม่มาก ซึ่งคนต่อๆมาจนถึงคนก่อนหน้าเรา เรียกว่าเดินเข้าแล้วเดินออกเลย เราก็เอ่ะใจว่าทำไมเร็วจัง หรือกรรมการจะเบื่อรึเปล่า คือในใจเราอยากอยู่ในห้องให้นานที่สุดเพราะเค้าจะได้รู้จักเรามากที่สุด เราก็พยายามคิดหาวิธีดึงเวลากรรมการ พอถึงคิวเราอย่างที่บอกคือ ทักทายกรรมการตั้งแต่หน้าประตู ทำเสียงร่าเริงที่สุดอ่ะ “Helloooooooooo” พวกเธอก็หันมายิ้มให้และทักกลับ จากนั้นก็นั่งลงหน้ากรรมการในห้องรับแสงธรรมชาติ 55555

แล้วถามพวกเธอว่า “สบายดีไหม เป็นยังไง”

แล้วกรรมการก็เริ่มด้วยคำถาม “What’s your name?”

เราตอบ และกรรมการต่อด้วยคำถามว่า “Do you live in the city?” (ผู้สมัครหลายคนกลับบ้าน และบางคนเดินทางมา กทม ช่วงนี้เนื่องจากเป็นสงกรานต์)  คำถามเค้าอัพเดทนะ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างรอบมีนา เค้าเปิดมาด้วยคำถาม in case of emergency how can you identify yourself? คือถามแผลเป็นก่อนเลยและจบ

เราตอบว่า “I live here (แต่เราจะไม่จบแค่นี้ สั้นไป เราเลยต่อว่า) Actually I from the North in little place you might not know in Uttaradit province” ทำตาเล็กตาน้อยไปด้วย สังเกตกรรมการตลอด

กรรมการ  “Oh Im sorry I don’t know. So what are you doing right now?”

เราตอบไปว่า “เราเพิ่งจบมาสักพักซึ่งตอนนี้ทำงานพาร์ทไทม์เป็นบาริสต้าอยู่ หน้าที่ก็ต้องทำความสะอาดบาร์ ทำแคชเชียร์ ทำกาแฟ อาหาร เครื่องดื่ม จัดร้าน เติมของ
กรมการก็พยักหน้ายิ้มแย้ม แล้วถามต่อว่า “อยู่คนเดียวเหรอ” เราก็ตอบว่า “ใช่ค่ะ แต่แม่มาหาเดือนละสามครั้ง

กรรมการถามต่อเรื่อง มี Birthmark ไหม เราก็เริ่มเล่ากำลังจะพูดอันอื่น (คือมันมีเยอะ) แต่ดูกรรมการเค้าไม่อยากฟังเค้าก็เลย บอกว่า .That’s all!”

กรรรมการก็บอกว่า โอเค แค่นี้ล่ะ ไอ้เราก็แบบว่าชั้นไม่อยากออก เธอถามชั้นอีกได้ไหม ถามอีกๆ พอใกล้จนมุมไม่รู้ว่าคุยอะไรต่อ เราก็ถามไปเสียงอ่อยๆ ว่า “อ้าวเสร็จแล้วเหรอคะ เร็วจังเลย เนี่ยพวกคุณรู้ไหมว่าบรรยากาศข้างในนี้มันดีกว่าข้างนอกอีก” (หาเรื่องคุย)
กรรมการทำหน้าตกใจ ถามว่า “มันร้อนเหรอ” ได้ทีเราก็ตอบว่า “เปล่าค่ะ ไม่ได้ร้อน หนูหมายถึง คนทั่งข้างนอกเค้าเครียดกันมาก พาหนูเครียดด้วย”

แล้วกรรมการก็ขำกัน แต่ไม่ถึงกับขี้แตกนะคะ พอเราล่ำลาเดินออกมา เราได้ยินเค้าพูดว่า She’s cute เท่านั้นแหละ น้ำตาจิไหล ชั้นทำได้ โดยตอนนั้นมั่นใจไป 80 % ละว่าได้แน่นอน


ทีนี้พอเดินออกมา ก็เป็นธรรมเนียมค่ะว่าต้องมาชี้แนะเพื่อนๆ ว่าคุยอะไรกัน เราก็นู่นนี่นั่น แล้วเพื่อนก็พูดมาคำนึงว่า “เข้าไปนานจัง” เราก็ Mission accomplished จ่ะ ฮี่ฮี่ฮี่

ริคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่ตื่นเต้นสุดๆ วิธีแรกให้สูดหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ สักพัก จะทำให้ตื่นเต้นน้อยลง แต่เอาจริงมันไม่ค่อยประสบผลสำเร็จนะวิธีนี้เพราะพวกเรามักตื่นเต้นกันมากกกกกกกก เลยขอเสนอวิธีที่สองคือ ชวนทุกคนคุย คุยให้ลืมว่ากำลังทำอะไรเลยเพราะรอบไฟนอลตอนนั่งรอสัมภาษณ์เราก็ไปชวนเพื่อนๆ คุย กว่าจะรู้ตัวก็คิวเราพอดี เลยไม่ได้ตื่นเต้นเลยและอย่าลืมหมั่นสังเกตหน้าและท่าทางของกรรมการ รวมถึงผู้สมัครคนอื่นๆ ด้วยนะคะ จะได้รู้ว่าควรไปพบหน้ากรรมการอารมณ์ประมาณไหน

และแล้วเวลาตื่นเต้นก็มาถึง กรรมการก็ให้เราแบ่งเป็นสองกลุ่ม เธอบอกว่ามีกิจกรรมอื่นๆ โดยเลขที่ถูกเรียกให้ยืนขึ้นและตาม เพื่อนเธอไป เลขที่ไม่ได้เรียกให้นั่งลง เราถูกเรียกก็ตามไปอีกห้องนึง เพื่อนๆยืนล้อมลงจับมือ เงียบๆ แบบลุ้นมากว่าจะเอากุไหมเนี่ย กรรมการก็เล่นตัวมาก บอกให้รอเพื่อนฉันก่อนๆ สุดท้ายเพื่อนเธอไม่มา เธอคงไม่อยากรอ ก็ประกาศว่า พวกเราไปต่อ ทั้งห้องก็กรี๊ดดด กรรมการก็ขำ เสร็จแล้วพวกเราก็ย้ายกลับไปห้องเดิม เพื่อทำ writing


Writing test

ข้อสอบ writing มีสองส่วนคือ ช้อยส์กับข้อเขียนหนึ่งข้อ ส่วนช้อยส์ก็ทั่วๆไป ถามแกรมม่าไม่ค่อยยากนะ ถ้าใครผ่านโทอิคมาแล้ว ข้อสอบก็จะประมาณนั้น กับคำนวนบ้างง่ายๆ เช่น มีตังเท่านี้ ซื้อของเท่านี้ เหลือตังเท่าไร ง่ายมะ เสร็จแล้วก็ข้อเขียน 1 เอสี่ กรรมการบอกว่า เขียนมานิดเดียวพอไม่ต้องเยอะให้ได้ใจความ แต่เราใส่ไปหนึ่งหน้าเต็มๆ คือมันจบไม่ลงซะทีอ่ะ

คำถามคือ What is your lowest point in your life? How you learn with that experience? ประมาณนี้นะคะ จำไม่ได้เป๊ะ ทีนี้คำตอบเรามันไม่ lowest point จริงๆ แต่เราแถว่ามันเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่นที่เราอยากจะทำอะไรเพื่อใครสักคนจริงๆ แล้วมันทำไม่ได้โดยเราลองอยู่สองครั้ง คือการบริจาคเลือดเพราะครั้งแรก เราเจาะหูมา ซึ่งเงื่อนไขคือต้องเจาะมาเกิน 6 เดือนแต่เราไม่ ครั้งที่สองเราความดันต่ำ เราก็นอยว่าชาตินี้คงทำอะไรไม่ได้แล้วทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ใครๆก็ทำกัน เราก็พร่ำเพ้อไปนู่นว่ามันลำบากอย่างนั้นอย่างนี้ คือกลัวเค้าจะไม่เชื่อว่า นี่ Lowest แล้วเหรอ จนสุดท้ายเราก็หาทางออกอื่นด้วยการบริจาคร่างกายแทน จบด้วยเราเรียนรู้อะไรได้บ้าง เราตอบว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไม่ว่ามันจะยากยังไง เราต้องมี another choice ไว้เสมอ

ช่วงรอผลเราไม่มั่นใจเลยว่าผลจะออกมาเป็นยังไงเพราะ 1 ทำช้อยส์ผิดไปหนึ่งข้อจากการถามเพื่อน 2 เอสเสที่ไม่ค่อยตรงกับหัวข้อมากเท่าไร พอกรรมการเรียกทุกคนเข้ามา เค้าก็ให้ทำ Public speaking เลย ซึ่งเค้าบอกว่าจะมีเซอร์ไพรส์ตั้งแต่เช้าแล้ว ทุกคนช้อคคค


Public speaking

Public speaking รอบเมษา ทำต่อจะข้อเขียน (ที่ยังไม่ประกาศผล) กติกาคือ จักฉลากหัวข้อที่มีประมาณ 60 ข้อ เป็นกระดาษเล็กๆ บรรจุ คำศัพท์ไว้ แล้วให้พูดตามหัวข้อนั้น โดยจะมีเวลาเตรียมตัวระหว่างที่คนก่อนหน้าพูด 1 นาที และมีเวลาพูดอีก 1 นาที โดยให้คนต่อจากเรามาจับฉลากหัวข้อที่มี เช่น Go green, Favorite travel destination, 3 power you wish, grooming, initiative, teamwork, etc. ที่สำคัญเราไม่สามารถเดินกลับโต๊ะได้หากเวลายังไม่หมด ต้องยืนอยู่หน้าห้องจนกว่าจะหมดเวลา

To be honest!!!! ฉลากไม่ได้ม้วนไว้เลย คนที่เคยมาจับเค้าก็วางฉลากคืนไว้ทีเดิม ซึ่งเราก็เห็นหัวข้อที่เปิดๆ อยู่ เราก็เลือกเอา หยิบ Favorite travel destination ขึ้นมา แต่.........แนะนำว่าควรคิดบทพูดของเราคร่าวๆ ไว้ก่อน ทุกหัวข้อที่เพื่อนหยิบ และคิดเนื้อหาให้เกินหนึ่งนาทีไว้ด้วย

 เช่น เพื่อนหยิบ Go green เราก็คิดว่า สิ่งที่จะพูด คือ 1. What’s Go green? 2. What we can do by your self? จบหนึ่งนาทีพอดี แล้วก็ good bye ทุกๆคน

Go green คือ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

ตอนที่เราเดินไปหยิบหัวข้อสำหรับพูดนั้นหัวใจมันแทบเต้นทะลุออกจากหน้าออกมา เครียดนิดหน่อย แต่ก็เดินยิ้มมาตลอดทางจนถึงโต๊ะที่ตัวเองนั่ง พยายามนึกหัวข้อที่จะพูด เนื้อหาบางส่วน การจบ  ซึ่ง หัวข้อ Favorite travel destination สำหรับเรามันสามารถทำให้เราเป็นตัวของตัวเองที่สุดและถ่ายทอดเรื่องราวด้วยอารมณ์ความรู้สึกจริงๆ ในเมื่อเราเคยไปแลกเปลี่ยนที่อิตาลี เราเลยพูดถึงอิตาลี พูดถึงผู้คน พิซซ่า แต่ยังไม่ถึงไหน กรรมการก็บอกหมดเวลา เราก็ say thank you แล้วก็เดินกลับไปที่โต๊ะ

ทุก ๆ คนสามารถจับฉลากได้คำศัพท์ซ้ำกันได้ เพราะฉะนั้นเรื่องราวที่ถ่ายทอดมันอาจจะคล้าย ๆ กัน เราขอแนะนำว่าบางครั้งเราก็ไม่ต้องวิชาการมากเกินไปในการเล่าเรื่อง เปลี่ยนสไตล์การเล่าเรื่อง

พอทุกคนพูดจบกรรมการก็แยกเป็นสองกลุ่มเหมือนเดิม เรียกเลขให้ลุกขึ้นตามไป แต่รอบนี้เราไม่ถูกเรียก เราหันไปจับมือกับพี่ข้างๆที่รู้จักกันและพูดว่า “ตกอีกแล้วอ่ะพี่” ตอนนั้นน้ำตาคลอเลย แบบ อีกแล้วเหรอวะเนี่ย จากนั้นกรรมการก็มาพูดหน้าห้อง แล้วก็ชวนคุยประมาณว่า I didn’t come here to take 4 or 5 persons I would like to take you all! ………….Today someone is unsuccessful but it doesn’t mean you will not be successful. You can come next time and today we have a lot of activities to do and unfortunately you have to continue those activities today เท่านั้นแหละค่ะ ทุกคนก็กรี๊ดๆๆๆๆๆ น้ำตาไหลพรากกันเลยทีเดียว ใจร้ายนักกาต้าร์ชอบทำให้ใจเต้นเรื่อยเลย  

ต่อเอนทรี่หน้านะคะ และขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุก ๆ คน มีแรงเขียนอีกเยอะเลยค่ะ