วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สมัครครั้งที่สองก็ได้เลย กาต้าร์แอร์เวย์ (2)

สมัครครั้งที่สองก็ได้เลย กาต้าร์แอร์เวย์ (2)

            ต่อจากเอนทรี่ที่แล้ว ที่พูดถึงวันพรีสกรีน ก็มีสาวๆ มาถามหลายคนเลย ขอแชร์ละกันค่ะ
-          เรื่องความสวยงาม หน้าตาผิวพรรณ ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบไทยนิยมค่ะที่เป็นแบบขาวสวยผอมสูง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นกังวลไป สำหรับใครที่โดนคนอื่นว่ามาตลอดชีวิต ว่า ไม่สวยบ้าง อย่างแกจะเป็นแอร์บ้างล่ะ ไม่ต้องไปสนใจค่ะ เค้าไม่ได้มาใช้ชีวิตกับเรา คนที่เข้ารอบมีทุกแบบเลย

-          คุณค่าของคนมิได้อยู่ที่สีผิว อย่างเราดำมาตลอดชีวิต โดนกระแนะกระแหนตลอด สุดท้ายชั้นสะบัดบ๊อบใส่ ทิ่มด้วยปีก จุกค่ะ

-          สูท ที่แนะนำไปจริงๆแล้วไม่ต้องใส่ก็ได้ เรื่องร้านที่แนะนำนั้นคือเราไปซื้อคืนก่อนวัน prescreen ซึ่งมันโชคดีที่พอดีตัวเราเลยไม่ต้องแก้ และเรื่องสีพี่ จขร เค้าแนะนำดี คุยสนุก เลยแนะนำร้านนี้มาค่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วยังมีร้านอื่นๆ อีกมากก ที่เพื่อนเราไปตัดกัน เช่น Pratailor ร้าน long เป็นต้น
-          หน้าสวย หน้าคม หน้าแขก มีโอกาสสูง ขอตอบว่าอาจจะค่ะ และเราก็ไม่ได้หน้าคมนะจริงๆแล้ว ถ้าล้างเครื่องสำอางออกหมด เพื่อนๆ จำไม่ได้เลยค่ะ เพราะงั้นแบบไหนที่เหมาะกับตัวเองต้องลองแต่งดูค่ะ ลองๆๆๆ เท่านั้น คือคำตอบ
-          คิดว่าตัวเองสูงไม่ถึง เช่น 158 159 หรือต่ำกว่านั้น ก็เอื้อมแตะให้ถึง 212 เซนนะคะ
-          เรื่องที่เราวอล์คอินได้บางคนอาจจะคิดว่ามันไม่แฟร์ อันนี้เราไม่อยากเถียงค่ะ เพราะมันขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของกรรมการ อีกทั้งเราไม่ใช่คนแรกและคนเดียวของวันนั้นค่ะ

“ที่เขียนบล็อกเพราะได้แรงบันดาลใจจากคนรอบตัวที่อยากเป็นแอร์แต่นางคิดว่าตัวเองไม่สวย ไม่เก่ง ดูไม่ดี ดำไป ดั้งแบน ซึ่งจริงๆ แล้วทุกอย่างมันปรับได้ หรือถ้ามันปรับไม่ได้จริงๆ ก็เอาจุดเด่นอื่นๆ มากลบแทน เช่น เทอไม่สวยเลยอ่ะ แต่ภาษาเทอเริ่ดมาก อย่างอื่นก็พอถูๆ ไถๆ เป็นต้นค่ะ ซึ่งเราเองก็ไม่สวยค่ะ เป็นคนไม่สวย แค่อาศัยการแต่งหน้าก็พัฒนามาจนมันไปวัดไปวาได้ เพราะฉะนั้นอย่าให้ อคติคนอื่นมาบดบังกำลังใจของเรา เราเองอยากให้ทุกคนรู้ไว้ว่าไม่สวยก็เป็นแอร์ได้ โอเคนะคะ อย่าท้อ คนที่เข้ามาอ่านที่มีคนใกล้ชิดมาสมัครก็ขอให้อยู่ข้างๆคอยให้กำลังใจกันเยอะๆ มันกดดันนะคะ เสียน้ำตากันหลายหยดทีเดียว"
คนที่บอกว่า เธอสวย ดูรูปเธอสิ นั่นมันรูปค่ะ ล้างหน้าแล้วแฟนเรียก “เด็กหมู” อ่ะค่ะ เข้าใจกันนะ”


**เตือนก่อนอ่าน process เปลี่ยนได้ตลอดขึ้นกับดุลยพินิจกรรมการค่ะ

(ต่อ) เอนทรี่นี้คงพูดถึง process ของวันที่สอง คือขั้นตอน small talk/writing test/public speaking/group discussion
-        สีแดงคือมันผุดมาให้แบบเซอร์ไพรส์สุดๆ
-          ส่วนเอื้อมแตะหายไป โดยกรรมการจะให้ทำเฉพาะคนที่คิดว่าไม่น่าจะเอื้อมถึงบางคนโดนตั้งแต่พรีสกรีน บางคนโดนรอบ small talk

วันนี้เรามีนัดเจ็ดโมงตรง เลยตื่นมาแต่งหน้าตั้งแต่ตี 4 เพราะต้องแต่งหน้าทำผมเองเพราะรอบนี้ไม่มีตัง วิธีการอาศัย youtube บ้าง pinterest บ้าง เอาจริงเลยคือกลัวไปไม่ทันด้วยเพราะตื่นสาย และกรรมการกาต้าร์เข้มงวดเรื่องเวลามาก เพราะรอบที่แล้วมีคนไปไม่ทันเจ็ดครึ่ง เค้าก็ทำหน้าไม่ค่อยพอใจแล้วเชิญออกจากห้องเลยอ่ะ เพราะฉะนั้นกฎเหล็กคืออย่าสาย

ไปถึง 6.30 น. มีผู้สมัครอื่นๆ รออยู่บางส่วน รอบนี้ไม่รู้ว่าผ่านเข้ามากี่คน แต่บังเอิญเพื่อนเราได้เบอร์ท้ายสุด แต่เลขไม่ได้รันเลยไม่รู้ว่าขาดช่วงไปกี่คน เพราะฉะนั้นก็มีคนผ่านประมาณ 120 คน goshhhhh น้อยกว่ารอบมีนาอีกรอบนั้นเกือบ 200 รอสักพักกรรมการเค้าก็มาเรียกเข้าห้อง 
เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว กรรมการก็จะแนะนำตัวเอง จำได้ว่ากรรมการวันพรีสกรีนมีสี่คน แต่มาวันนี้มีสามคน เป็นผู้หญิงผอมๆ ตัวเล็กๆ สวย ยิ้มบ่อยมากก อีกคนตัวเล็กกว่าแต่นิ่งมากๆ คนสุดท้ายอวบๆสูงๆ เฮฮามากเหมือนกัน เราจำชื่อไม่ได้เลยเพราะเค้าพูดเร็ว หลังจากที่แนะนำตัวเองเสร็จเค้าก็ให้เราออกไปสัมภาษณ์อีกห้องนึงทีละ 20 เบอร์ จนถึงเบอร์สุดท้าย

ย้อนกลับไปเล่านิดนึง  คือเราเคยตกมาก่อนแล้ว แล้วตอนนั้นเราตั้งความหวังไว้ที่สุด ด้วยความที่มันเป็นครั้งแรกและผ่านเข้ารอบ ดังนั้นใจมันไปแล้วอ่ะ ชั้นติดปีกแล้ว แล้วมันก็ตกรอบ......... ความรู้สึกนี่แบบว่า ไม่อยากเห็นโลโก้กาต้าร์อีกเลย เจ็บปวดรวดร้าวสุดๆ พยายามหาสาเหตุว่าทำไมเราต้องตกด้วย
1. คือฟัน ฟันหน้าเรามีทำรากฟันอยู่ซี่นึง แล้วฟันตายสีจะเปลี่ยนเนอะ ก็เห็นชัดเจนเลย แล้วฟันเหลืองมากกกกเพราะต้องเทสช้อตกาแฟทุกวัน
2. เราเกร็งมาก ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต ทำให้ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ เดินสะดุดต่อหน้ากรรมการเลยตอนเข้าไปเอื้อมแตะ ก็ยืนเงียบๆ กรรมการถามเราถึงจะอ้าปากตอบ

แล้วเลวร้ายที่สุดคือเราเสียใจทีหลังว่า เพราะเราทำไม่ดีเองมันเลยจบแบบนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ทำอะไรแล้วจะเสียใจอีก คือต้องเต็มที่ที่สุด เพราะงั้นเลยจัดแจงนัดหมอฟันให้ครอบฟันหน้า และฟอกฟันให้สีมันปกติ


Small talk

ปุบปับก็เปิดรับรอบใหม่อีก มันเหมือนมีอะไรมาดามหัวใจ ว่าเรายังมีพลังและเราต้องสู้ เราก็ส่งอินไวท์เหมือนคนปกติแต่มันไม่ได้ เลยไปวอคอินแทน พอเราผ่านวันพรีสกรีนมาได้ สิ่งที่เรากลัวที่สุดคือรอบ small talk นี่แหละ สิ่งที่เราทำคือ เรากลับไปนอนคิดทั้งคืนว่าเราควรจะทำยังไงให้ดูน่าสนใจดี ทำยังไงให้เป็นตัวของตัวเอง ทำให้เค้ารู้จักได้ในเสี้ยววินาที เหมือนที่กรรมการพูดว่า “just be yourself don’t pretend to be someone else that we will know” 
ดังนั้นเราเลยลองสร้างบทสนทนาคร่าว ๆ เพื่อที่ว่ามันจะออกมาดีไหม ให้ดูเป็นคนหน้าสนใจนิด ที่เราทำคือเราผลักประตูเข้าไป เราก็ say hello ประหนึ่งอยู่บนเวทีคอนเสริตตัวเอง พอกันกรรมการทักกลับมาอย่างเป็นมิตร มันก็โป๊ะเช๊ะ

กลับมาหลังจากที่กรรมการเรียกเบอร์แรกๆ ไป ก็ใกล้จะถึงคิวเรา จากที่สังเกตคิวก่อนหน้าเราประมาณ ห้าคิวต้นๆ กรรมการสัมภาษณ์นานแต่ไม่มาก ซึ่งคนต่อๆมาจนถึงคนก่อนหน้าเรา เรียกว่าเดินเข้าแล้วเดินออกเลย เราก็เอ่ะใจว่าทำไมเร็วจัง หรือกรรมการจะเบื่อรึเปล่า คือในใจเราอยากอยู่ในห้องให้นานที่สุดเพราะเค้าจะได้รู้จักเรามากที่สุด เราก็พยายามคิดหาวิธีดึงเวลากรรมการ พอถึงคิวเราอย่างที่บอกคือ ทักทายกรรมการตั้งแต่หน้าประตู ทำเสียงร่าเริงที่สุดอ่ะ “Helloooooooooo” พวกเธอก็หันมายิ้มให้และทักกลับ จากนั้นก็นั่งลงหน้ากรรมการในห้องรับแสงธรรมชาติ 55555

แล้วถามพวกเธอว่า “สบายดีไหม เป็นยังไง”

แล้วกรรมการก็เริ่มด้วยคำถาม “What’s your name?”

เราตอบ และกรรมการต่อด้วยคำถามว่า “Do you live in the city?” (ผู้สมัครหลายคนกลับบ้าน และบางคนเดินทางมา กทม ช่วงนี้เนื่องจากเป็นสงกรานต์)  คำถามเค้าอัพเดทนะ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างรอบมีนา เค้าเปิดมาด้วยคำถาม in case of emergency how can you identify yourself? คือถามแผลเป็นก่อนเลยและจบ

เราตอบว่า “I live here (แต่เราจะไม่จบแค่นี้ สั้นไป เราเลยต่อว่า) Actually I from the North in little place you might not know in Uttaradit province” ทำตาเล็กตาน้อยไปด้วย สังเกตกรรมการตลอด

กรรมการ  “Oh Im sorry I don’t know. So what are you doing right now?”

เราตอบไปว่า “เราเพิ่งจบมาสักพักซึ่งตอนนี้ทำงานพาร์ทไทม์เป็นบาริสต้าอยู่ หน้าที่ก็ต้องทำความสะอาดบาร์ ทำแคชเชียร์ ทำกาแฟ อาหาร เครื่องดื่ม จัดร้าน เติมของ
กรมการก็พยักหน้ายิ้มแย้ม แล้วถามต่อว่า “อยู่คนเดียวเหรอ” เราก็ตอบว่า “ใช่ค่ะ แต่แม่มาหาเดือนละสามครั้ง

กรรมการถามต่อเรื่อง มี Birthmark ไหม เราก็เริ่มเล่ากำลังจะพูดอันอื่น (คือมันมีเยอะ) แต่ดูกรรมการเค้าไม่อยากฟังเค้าก็เลย บอกว่า .That’s all!”

กรรรมการก็บอกว่า โอเค แค่นี้ล่ะ ไอ้เราก็แบบว่าชั้นไม่อยากออก เธอถามชั้นอีกได้ไหม ถามอีกๆ พอใกล้จนมุมไม่รู้ว่าคุยอะไรต่อ เราก็ถามไปเสียงอ่อยๆ ว่า “อ้าวเสร็จแล้วเหรอคะ เร็วจังเลย เนี่ยพวกคุณรู้ไหมว่าบรรยากาศข้างในนี้มันดีกว่าข้างนอกอีก” (หาเรื่องคุย)
กรรมการทำหน้าตกใจ ถามว่า “มันร้อนเหรอ” ได้ทีเราก็ตอบว่า “เปล่าค่ะ ไม่ได้ร้อน หนูหมายถึง คนทั่งข้างนอกเค้าเครียดกันมาก พาหนูเครียดด้วย”

แล้วกรรมการก็ขำกัน แต่ไม่ถึงกับขี้แตกนะคะ พอเราล่ำลาเดินออกมา เราได้ยินเค้าพูดว่า She’s cute เท่านั้นแหละ น้ำตาจิไหล ชั้นทำได้ โดยตอนนั้นมั่นใจไป 80 % ละว่าได้แน่นอน


ทีนี้พอเดินออกมา ก็เป็นธรรมเนียมค่ะว่าต้องมาชี้แนะเพื่อนๆ ว่าคุยอะไรกัน เราก็นู่นนี่นั่น แล้วเพื่อนก็พูดมาคำนึงว่า “เข้าไปนานจัง” เราก็ Mission accomplished จ่ะ ฮี่ฮี่ฮี่

ริคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่ตื่นเต้นสุดๆ วิธีแรกให้สูดหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ สักพัก จะทำให้ตื่นเต้นน้อยลง แต่เอาจริงมันไม่ค่อยประสบผลสำเร็จนะวิธีนี้เพราะพวกเรามักตื่นเต้นกันมากกกกกกกก เลยขอเสนอวิธีที่สองคือ ชวนทุกคนคุย คุยให้ลืมว่ากำลังทำอะไรเลยเพราะรอบไฟนอลตอนนั่งรอสัมภาษณ์เราก็ไปชวนเพื่อนๆ คุย กว่าจะรู้ตัวก็คิวเราพอดี เลยไม่ได้ตื่นเต้นเลยและอย่าลืมหมั่นสังเกตหน้าและท่าทางของกรรมการ รวมถึงผู้สมัครคนอื่นๆ ด้วยนะคะ จะได้รู้ว่าควรไปพบหน้ากรรมการอารมณ์ประมาณไหน

และแล้วเวลาตื่นเต้นก็มาถึง กรรมการก็ให้เราแบ่งเป็นสองกลุ่ม เธอบอกว่ามีกิจกรรมอื่นๆ โดยเลขที่ถูกเรียกให้ยืนขึ้นและตาม เพื่อนเธอไป เลขที่ไม่ได้เรียกให้นั่งลง เราถูกเรียกก็ตามไปอีกห้องนึง เพื่อนๆยืนล้อมลงจับมือ เงียบๆ แบบลุ้นมากว่าจะเอากุไหมเนี่ย กรรมการก็เล่นตัวมาก บอกให้รอเพื่อนฉันก่อนๆ สุดท้ายเพื่อนเธอไม่มา เธอคงไม่อยากรอ ก็ประกาศว่า พวกเราไปต่อ ทั้งห้องก็กรี๊ดดด กรรมการก็ขำ เสร็จแล้วพวกเราก็ย้ายกลับไปห้องเดิม เพื่อทำ writing


Writing test

ข้อสอบ writing มีสองส่วนคือ ช้อยส์กับข้อเขียนหนึ่งข้อ ส่วนช้อยส์ก็ทั่วๆไป ถามแกรมม่าไม่ค่อยยากนะ ถ้าใครผ่านโทอิคมาแล้ว ข้อสอบก็จะประมาณนั้น กับคำนวนบ้างง่ายๆ เช่น มีตังเท่านี้ ซื้อของเท่านี้ เหลือตังเท่าไร ง่ายมะ เสร็จแล้วก็ข้อเขียน 1 เอสี่ กรรมการบอกว่า เขียนมานิดเดียวพอไม่ต้องเยอะให้ได้ใจความ แต่เราใส่ไปหนึ่งหน้าเต็มๆ คือมันจบไม่ลงซะทีอ่ะ

คำถามคือ What is your lowest point in your life? How you learn with that experience? ประมาณนี้นะคะ จำไม่ได้เป๊ะ ทีนี้คำตอบเรามันไม่ lowest point จริงๆ แต่เราแถว่ามันเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่นที่เราอยากจะทำอะไรเพื่อใครสักคนจริงๆ แล้วมันทำไม่ได้โดยเราลองอยู่สองครั้ง คือการบริจาคเลือดเพราะครั้งแรก เราเจาะหูมา ซึ่งเงื่อนไขคือต้องเจาะมาเกิน 6 เดือนแต่เราไม่ ครั้งที่สองเราความดันต่ำ เราก็นอยว่าชาตินี้คงทำอะไรไม่ได้แล้วทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ใครๆก็ทำกัน เราก็พร่ำเพ้อไปนู่นว่ามันลำบากอย่างนั้นอย่างนี้ คือกลัวเค้าจะไม่เชื่อว่า นี่ Lowest แล้วเหรอ จนสุดท้ายเราก็หาทางออกอื่นด้วยการบริจาคร่างกายแทน จบด้วยเราเรียนรู้อะไรได้บ้าง เราตอบว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไม่ว่ามันจะยากยังไง เราต้องมี another choice ไว้เสมอ

ช่วงรอผลเราไม่มั่นใจเลยว่าผลจะออกมาเป็นยังไงเพราะ 1 ทำช้อยส์ผิดไปหนึ่งข้อจากการถามเพื่อน 2 เอสเสที่ไม่ค่อยตรงกับหัวข้อมากเท่าไร พอกรรมการเรียกทุกคนเข้ามา เค้าก็ให้ทำ Public speaking เลย ซึ่งเค้าบอกว่าจะมีเซอร์ไพรส์ตั้งแต่เช้าแล้ว ทุกคนช้อคคค


Public speaking

Public speaking รอบเมษา ทำต่อจะข้อเขียน (ที่ยังไม่ประกาศผล) กติกาคือ จักฉลากหัวข้อที่มีประมาณ 60 ข้อ เป็นกระดาษเล็กๆ บรรจุ คำศัพท์ไว้ แล้วให้พูดตามหัวข้อนั้น โดยจะมีเวลาเตรียมตัวระหว่างที่คนก่อนหน้าพูด 1 นาที และมีเวลาพูดอีก 1 นาที โดยให้คนต่อจากเรามาจับฉลากหัวข้อที่มี เช่น Go green, Favorite travel destination, 3 power you wish, grooming, initiative, teamwork, etc. ที่สำคัญเราไม่สามารถเดินกลับโต๊ะได้หากเวลายังไม่หมด ต้องยืนอยู่หน้าห้องจนกว่าจะหมดเวลา

To be honest!!!! ฉลากไม่ได้ม้วนไว้เลย คนที่เคยมาจับเค้าก็วางฉลากคืนไว้ทีเดิม ซึ่งเราก็เห็นหัวข้อที่เปิดๆ อยู่ เราก็เลือกเอา หยิบ Favorite travel destination ขึ้นมา แต่.........แนะนำว่าควรคิดบทพูดของเราคร่าวๆ ไว้ก่อน ทุกหัวข้อที่เพื่อนหยิบ และคิดเนื้อหาให้เกินหนึ่งนาทีไว้ด้วย

 เช่น เพื่อนหยิบ Go green เราก็คิดว่า สิ่งที่จะพูด คือ 1. What’s Go green? 2. What we can do by your self? จบหนึ่งนาทีพอดี แล้วก็ good bye ทุกๆคน

Go green คือ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

ตอนที่เราเดินไปหยิบหัวข้อสำหรับพูดนั้นหัวใจมันแทบเต้นทะลุออกจากหน้าออกมา เครียดนิดหน่อย แต่ก็เดินยิ้มมาตลอดทางจนถึงโต๊ะที่ตัวเองนั่ง พยายามนึกหัวข้อที่จะพูด เนื้อหาบางส่วน การจบ  ซึ่ง หัวข้อ Favorite travel destination สำหรับเรามันสามารถทำให้เราเป็นตัวของตัวเองที่สุดและถ่ายทอดเรื่องราวด้วยอารมณ์ความรู้สึกจริงๆ ในเมื่อเราเคยไปแลกเปลี่ยนที่อิตาลี เราเลยพูดถึงอิตาลี พูดถึงผู้คน พิซซ่า แต่ยังไม่ถึงไหน กรรมการก็บอกหมดเวลา เราก็ say thank you แล้วก็เดินกลับไปที่โต๊ะ

ทุก ๆ คนสามารถจับฉลากได้คำศัพท์ซ้ำกันได้ เพราะฉะนั้นเรื่องราวที่ถ่ายทอดมันอาจจะคล้าย ๆ กัน เราขอแนะนำว่าบางครั้งเราก็ไม่ต้องวิชาการมากเกินไปในการเล่าเรื่อง เปลี่ยนสไตล์การเล่าเรื่อง

พอทุกคนพูดจบกรรมการก็แยกเป็นสองกลุ่มเหมือนเดิม เรียกเลขให้ลุกขึ้นตามไป แต่รอบนี้เราไม่ถูกเรียก เราหันไปจับมือกับพี่ข้างๆที่รู้จักกันและพูดว่า “ตกอีกแล้วอ่ะพี่” ตอนนั้นน้ำตาคลอเลย แบบ อีกแล้วเหรอวะเนี่ย จากนั้นกรรมการก็มาพูดหน้าห้อง แล้วก็ชวนคุยประมาณว่า I didn’t come here to take 4 or 5 persons I would like to take you all! ………….Today someone is unsuccessful but it doesn’t mean you will not be successful. You can come next time and today we have a lot of activities to do and unfortunately you have to continue those activities today เท่านั้นแหละค่ะ ทุกคนก็กรี๊ดๆๆๆๆๆ น้ำตาไหลพรากกันเลยทีเดียว ใจร้ายนักกาต้าร์ชอบทำให้ใจเต้นเรื่อยเลย  

ต่อเอนทรี่หน้านะคะ และขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุก ๆ คน มีแรงเขียนอีกเยอะเลยค่ะ


1 ความคิดเห็น:

  1. ผมมีกลังใจขึ้นเยอะเลยครับที่จะทำตามความฝัน พี่ทำได้ผมก็จะทำให้ได้ ไฟท์ติ้ง!!!

    ตอบลบ